Friday, July 20, 2012

ยกระดับความเป็นนักเก็งกำไรในตัวคุณ

ทำไมนักเก็งกำไรจึงไม่สามารถเทรดตามสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ได้ Mark J.Douglas เซียนหุ้นผู้เขียนหนังสือขายดี Trading in the Zone เรียกมันว่า “ช่องว่างทางจิตวิทยา”และช่องว่างนี้เองที่ทำให้ “การเก็งกำไร” เป็นสิ่งที่ยากยิ่งและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องเรียนรู้ที่จะคิดและสร้างทัศนคติในทางที่ต่างออกไปซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี พวกเขาได้เข้าถึงความเชื่อบางอย่างซึ่งช่วยให้สามารถรักษาวินัยและสมาธิเอาไว้ได้ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ ความเชื่อมั่นในตนเองแม้ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด
นักเก็งกำไรชั้นยอดเหล่านี้ สามารถซื้อ-ขายได้โดยไร้ความลังเลใจ แม้ในช่วงเวลาที่ขาดทุน พวกเขาทำสิ่งต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยยอมรับถึงการขาดทุนที่เกิดขึ้น Mark J.Douglas กล่าวว่าคุณต้องเตรียมตัวสำหรับวันใหม่และโอกาสใหม่ๆ แต่หากว่าคุณยังถูกครอบงำจากการเก็งกำไรครั้งที่คุณเพิ่งขาดทุนมา คุณจะถูกครอบงำโดยอารมณ์ และคุณจะไม่สามารถตั้งสมาธิไปยังโอกาสครั้งใหม่ได้


การเก็งกำไรได้ดีนั้น คือการที่คุณสามารถเช้าซื้อขายได้ตามกฎหรือระบบของคุณ ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะได้กำไรหรือขาดทุน และนี่คือสิ่งที่นักเก็งกำไรชั้นยอดทำ!!!

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้นักเก็งกำไรมือสมัครเล่นส่วนใหญ่มักจะถือหุ้นที่ขาดทุนอยู่ก็เพราะ พวกเขายังคงรู้สึกเจ็บปวดจากการขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น และไม่ยอมรับถึงความเสี่ยงจากการลงทุนได้นั่นเอง พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงว่าทุกอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่คิด และเมื่อไรที่มันวิ่งสวนทางกับสิ่งที่เขาทำเขาก็ทำใจยอมรับมันไม่ได้ ยังคงดื้อถือขาดทุนอยู่ต่อไปด้วยความหวังลมๆแล้งๆ ในที่สุดมันก็จะทำให้เริ่ม “ตาบอด” จนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ และความเสียหายอย่างหนักจากการเก็วกำไรก็จะตามมา โดย Mark J.Douglas พบว่ากว่า 95% ของความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นในการเก็งกำไรเกิดมาจากทัศนคติของคุณเองเกี่ยวกับเรื่อง “ความกลัวในการเก็งกำไร 4 ประเภท” นั่นก็คือ ความกลัวที่จะผิดพลาด ความกลัวที่จะขาดทุน กลัวที่จะพลาดโอกาส และกลัวที่กำไรจะหายไปนั่นเอง

อะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ระหว่าง “นักเก็งกำไรมืออาชีพ” กับ “นักเก็งกำไรมือสมัครเล่น”

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ ขนาดของ “หัวใจ” ที่พร้อมจะเข้าทำการซื้อ-ขายหุ้นในตลาดโดยปราศจากความกลัว สามารถที่จะปล่อยวาง และเชิดหน้าก้าวเดินต่อไปเพื่อหาโอกาสใหม่ๆในตลาดอยู่เสมอ ไม่ยึดติดกับความเจ็บปวดจากการขาดทุน หรือมัวแต่ “ฟูมฟาย”ผิดหวังกับสิ่งที่ได้ทำพลาดไปแล้ว

หากคุณมั่นใจในขนาดของ “หัวใจ” ของคุณ หรือเชื่อว่าหัวใจคุณ “แกร่ง” พอ ก็ลองเขยิบไปดูกันอีกสักนิดก็ได้ว่า อะไรคือขั้นตอน หรือวิธีการที่สำคัญในการเป็นนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จเพื่อพัฒนาความเชื่อและทัศนคติที่ถูกต้องในการเล่นหุ้นของคุณ

ในหนังสือ Trading in The Zone เล่มนี้ได้วางแนวทางฝึกหัด หรือ Guide Line สำหรับการยกระดับขึ้นมาเป็นนักเก็งกำไรเอาไว้ ในตอน Trading an Edge like Casino หรือ “เก็งกำไรอย่างไรให้มีแต้มต่อ"

การเก็งกำไรที่มีความได้เปรียบนั้น คือการที่คุณสามารถที่จะมองเห็นโอกาสที่ตลาดได้เผยออกมาในทุกๆวัน และนี่คือสิ่งที่เขาเรียกมันว่า Edge หรือการมองเห็นโอกาส สำหรับการซื้อ-ขายครั้งใหม่ๆ

แนวทางดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในการฝึกฝนจิตใจของคุณ เพื่อเรียนรู้การตอบสนองที่ถูกต้องจากสิ่งที่ตลาดเผยออกมา และยิ่งกว่านั้นคือการเรียนรู้ที่จะเป็น“นักเก็งกำไรที่มีวินัย”ที่สามารถทำตามกฎได้อย่างเคร่งครัด จนทำให้“คุณคือระบบ และระบบกลายเป็นตัวคุณ!”

เริ่มต้นจากการลองเลือกหุ้นมาสักตัวหนึ่ง โดยควรเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องเป็นอย่างดี และควรมีความผันผวนสูงสักหน่อย โดยอาจจะเริ่มจากหุ้นประเภท “บลูชิพ”บางตัวก็ได้ หลังจากที่เราเลือกหุ้นที่เราจะทดลองฝึกดูได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกแนวทางที่เราจะซื้อขายกับมัน เพื่อให้คุณมีระบบการลงทุนของคุณเอง

มันอาจะเป็นการวิเคราะห์พื้นฐานหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็ได้เพราะการฝึกนี้ไม่เกี่ยวกับระบบหรือวิธีการของคุณ ไม่เกี่ยวว่าเมื่อคุณเห็นกราฟ แล้วคุณจะคิดอย่างไร และมันไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะได้กำไรหรือไม่ แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า “คุณจะสามารถทำตามระบบของคุณได้ไหม” โดยไม่ต้องสนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

ไม่ว่าระบบของคุณจะเป็นอย่างไรนั้น มันก็ควรจะมีองค์ประกอบ คือ มันต้องสามารถส่ง“สัญญาณ” บอกจุดเข้าซื้อให้คุณได้ ทำให้คุณรู้ว่าตรงไหนที่ควรตัดขาดทุน มีระยะเวลาหรือTime Frame ที่ชัดเจน โดยควรทดลองซื้อ-ขายเป็นจำนวนหลายๆครั้ง และมีวิธีการวัดผลที่แน่นอน และมีการจัดการความเสี่ยงควบคู่กันไปด้วย

โดยเมื่อพูดถึงการเข้าซื้อนั้น ตัวแปรที่ใช้ในการบ่งชี้ถึงโอกาสของคุณ ควรจะมีกฏที่ชัดเจนและแน่นอนว่า ทุกๆครั้งที่หุ้น X หล่นลงมาชนกับเส้นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง Moving Average-MA 20 วัน ในขณะที่ตลาดเป็นขาขึ้น จะเป็นจังหวะของการซื้อ หรือทุกครั้งที่เส้น Moving Average Convergence-Divergence- MACD หรือเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 2 เส้นตัดขึ้นจะเข้าซื้อ

พูดง่ายๆว่า หากเมื่อไรสภาพตลาดเข้าทางกับกฎการซื้อของคุณ จึงจะเป็นจุดซื้อของคุณ หากไม่ก็ไม่ควรซื้อ จะซื้อก็ต่อเมื่อมันตรงกับกฎหรือระบบของคุณเท่านั้น!

ในทางกลับกัน “การตัดขาดทุน” ก็เหมือนกับการซื้อหุ้นเช่นกัน ทุกคนควรจะมีกฎที่แน่นอนในการขายด้วย ไม่ว่าจะเป็นเมื่อมันหลุดเส้น MA 20 วัน หรือหลุดเส้น MA 50 วัน หรืออะไรก็ตาม ต้องมีกฏที่แน่นอนสำหรับการขาดทุนเช่นเดียวกับการซื้อ เพราะนั่นจะมีผลอย่างมากมายต่อผลกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหุ้นนั้นไม่วิ่งไปอย่างที่คิดระบบของคุณยังต้องสามารถบอกได้ว่า ควรจะยอมเสี่ยงแค่ไหนหากว่าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด พูดง่ายๆว่าหากทำตามระบบ มันจะต้องบอกได้ว่าจะต้องทำอย่างไร รอนานแค่ไหน หรือจะยอมเสี่ยงมากเท่าไร และในเวลาเดียวกัน มันจะต้องมีจุดๆหนึ่งที่คุณจะไม่สามารถทำกำไรเพิ่มได้อีกแล้ว และควรที่จะขายออกมา

เรื่องของกรอบเวลา หรือ Time frame มันจะอยู่บนระยะเวลานานแค่ไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะยึดโยงกับ กราฟราย 15 นาที 1 ชั่วโมง หรือกราฟรายวัน และที่สำคัญ กฎการเข้าซื้อและขายของคุณต้องใช้กรอบเวลาเดียวกัน เช่นหากใช้กราฟราย 15 นาที ในการเข้าซื้อระหว่างวัน ก็ต้องใช้กราฟราย 15 นาทีในการขายด้วย

ในเบื้องต้น Marc ให้คำแนะนำไว้ว่า การเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด หรือมีความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรมากที่สุด คือ “การซื้อเมื่อหุ้นพักตัว” ในแนวโน้มขาขึ้น หรือ “การขายชอร์ทเมื่อหุ้นเด้งขึ้น”ขณะที่มันยังอยู่ในขาลง จุดสำคัญที่ทำให้นักเก็งกำไรส่วนใหญ่ล้มเหลวก็เพราะ บ่อยครั้งทั้งๆที่มีกำไร แต่ก็จะทนไม่ไหวรีบขายออกมา ทำให้ได้กำไรน้อยกว่าที่ควรจะเป็นทั้งๆที่กำลังเดินมาถูกทาง ปัญหาในเรื่องนี้ก็เพราะตามธรรมชาติ ตลาดไม่เคยวิ่งขึ้นเป็นเส้นตรง มันจะขึ้นๆลงๆ หรือย่อตัวเสมอ

นักเก็งกำไรทั่วไปนั้น มักเอาชีวิตไปแขวนไว้กับผลการซื้อขายครั้งที่พึ่งจะผ่านๆมา หากมันทำกำไรได้ เขาจะกลับไปใช้มัน แต่หากมันไม่มีกำไร เขาก็จะเลิกใช้มัน ดังนั้นคุณควรจะทดสอบระบบของคุณโดยการทดลองซื้อขายในกระดาษก่อน เพื่อสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า อะไรคือเหตุผลในการตัดสินใจ จนคุณสามารถพูดได้ว่า นี่คือ“กฎของผม”

ที่สำคัญอีกอย่างคือ การกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือตัดขาดทุนในระหว่างการถือหุ้นเพื่อความสบายใจ ซึ่งมันแตกต่างๆโดยสิ้นเชิงกับการรับรู้ถึงความเสี่ยง

การฝึกแบบนี้ จะทำให้คุณกลายเป็นระบบ ทำตามระบบ และระบบจะฝึกคุณเอง พยายามทำตามระบบอย่างน้อย 20 ครั้ง ตามกฎของคุณ ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายครั้งต่อไป แต่อีก 20 ครั้งต่อไป และห้ามละเมิดกฎเด็ดขาด

บทเรียนจากการทดลอง จะทำให้คุณได้ตระหนักว่า ทุกอย่างมันจะใช้การไม่ได้ ถ้าคุณไม่ทำตามระบบ แต่หากคุณสามารถปฏิบัติตามกฏเหล่านี้ได้ คุณก็จะอยู่ในข่ายที่จะเหมือนขึ้นสววรค์ เพราะมันจะทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างที่ต้องการ มองเห็นโอกาสในการทำกำไรได้ตลอดเวลา โดยไม่รู้สึกว่าระบบหรือตลาดนั้นจะคอยเล่นงานคุณอยู่เสมอ

เรียบเรียง 2Binvestor
เครดิต : บางส่วนจากผู้จัดการออนไลน์