Sunday, July 29, 2012

ข้อมูลสำหรับผู้เริ่มต้นเทรด forex

หลังจากได้เริ่มเขียนบทความเกี่ยวกับเทรดเดอร์ค่าเงินมาไม่นาน ปรากฎว่ามีนักลงทุนหน้าเก่าในตลาดหุ้นไทย รวมถึงฟิวเจอร์ แต่เป็นหน้าใหม่ในตลาด forex ให้ความสนใจที่จะศึกษาการเก็งกำไรในตลาด forex รวมถึงผู้ที่ต้องการจะเป็น freedom trader กันหลายท่าน โดยได้ส่งเมล์เข้ามาถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับตลาดที่กว้างใหญ่แห่งนี้ วันนี้เลยถือโอกาส สรุปข้อมูลเบื้องต้นให้เทรดเดอร์ค่าเงินมือใหม่ได้เข้าใจภาพรวมกันสักเล็กน้อย ^^

ฟอเร็กซ์ (Forex) คืออะไร
Forex (Foreign Exchange Market) หรือเรียกสั้นๆว่า FX เป็นตลาดในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ ซึ่ง Forex เป็นตลาดที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกกว่า 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อวันซึ่งมากกว่าตลาดหุ้นทั้งโลกมารวมกัน ตลาด Forex เปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ตลอด 24 ชั่วโมงและหยุดการซื้อขายในวันเสาร์อาทิตย์ ตลาดใหญ่ๆของโลกจะมีอยู่ 3 แห่งก็คือ ตลาดโตเกียว ตลาดลอนดอน และตลาดนิวยอร์ค ซึ่งเวลาทำการเมื่อเทียบกับเวลาประเทศไทยก็จะเป็นดังนี้ (ถ้าอยู่ในช่วงฤดูหนาวก็ให้เพิ่มอีก 1 ชั่วโมง)


ตลาดออสเตรเลีย (AUD) เวลา 5:00 – 13:00
ตลาดญี่ปุ่น (JPY) เวลา 7:00 – 14:00
ตลาดยุโรป (EUR) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดสวิส (CHF) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดอังกฤษ (GBP) เวลา 14:00 – 22:00
ตลาดอเมริกา (USD) เวลา 19.00 - 3:00

สกุลเงิน
สกุลเงินหลักๆที่ทำการซื้อขายนั้นก็จะมีอยู่ 7 สกุลเงินด้วยกันก็คือ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) ยูโร (EUR) ปอนด์ (GBP) เยน (JPY) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) สวิสฟรังค์ (CHF) และดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)

การซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex นั้นจะทำกันเป็นคู่ๆ (Currency Pair) ซึ่งคู่ของสกุลเงินหลักหรือที่เรียกว่า Major นั้น จะมีอยู่ 4 สกุลด้วยกันคือ GBP/USD, EUR/USD, USD/CHF, USD/JPY ซึ่งสกุลเงินที่อยู่ข้างหน้าจะเรียกว่า Base Currency และตัวหลังเรียกว่า Counter Currency เช่นคู่ GBP/USD ก็จะมี GBP เป็น Base Currency และ USD เป็น Counter Currency ส่วนความหมายนั้นก็ให้จำง่ายๆว่าตัว Base Currency จะมีค่าเป็น 1 เสมอ สมมติว่าราคาของคู่ GBP/USD เป็น 1.5000 ก็จะหมายความว่า 1 ปอนด์มีค่าเท่ากับ 1.5 ดอลลาร์

Pip
Pip คือจำนวนจุดที่น้อยที่สุดของคู่เงินนั้นๆ ตัวอย่างเช่นราคาของคู่ EUR/USD จะมีทศนิยม 4 จุด เช่น 1.3000 เพราะฉะนั้น 1 pip ก็จะมีค่าเท่ากับ 0.0001 ส่วนราคาของคู่ที่มีสกุลเงินเยนอยู่จะมีทศนิยม 2 จุด เช่นราคาของคู่ USD/JPY เป็น 110.00 ดังนั้น 1 pip ของคู่นี้ก็จะมีค่าเท่ากับ 0.01

Lot
ขนาดของสัญญาที่จะทำการซื้อขายกันนั้นเรียกว่า lot ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าแต่ละ pip ที่เราเปิดออเดอร์นั้นจะมีค่าเป็นกี่ดอลลาร์ โดยที่ 1 standard lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $10

Spread
Spread คือผลต่างของราคา Bid และ ราคา Ask หน่วยเป็นจำนวนจุด ซึ่งราคา Ask ก็คือราคาที่เราจะทำการซื้อและราคา Bid ก็คือราคาที่เราจะทำการขาย ซึ่งราคา Bid จะน้อยกว่าราคา Ask เสมอ ตัวอย่างเช่นคู่ EUR/USD มีราคา Bid เป็น 1.2540 ราคา Ask เป็น 1.2541 ดังนั้น Spread จะมีค่าเท่ากับ 1 จุด ซึ่ง Spread ก็เปรียบเสมือนกับค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์ที่คิดกับเรานั่นเอง ยิ่งมีค่าน้อยยิ่งดี

Margin
Margin เปรียบเสมือนกับค่ามัดจำที่เราต้องใช้ในการเปิด Order แต่ละครั้ง และก็จะเพิ่มกลับเข้าไปในบัญชีเหมือนเดิมเมื่อทำการปิดออเดอร์ ยิ่งใส่จำนวน Lot ในการเปิดออเดอร์มากเท่าไหร่ จำนวน Margin ที่ใช้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

Leverage
Leverage จะเป็นตัวกำหนด Margin ที่เราใช้ในการเปิดออเดอร์แต่ละครั้ง Leverage โดยปกติจะมีให้เลือกตั้งแต่ 1:100 จนถึง 1:500 ยิ่ง Leverage มาก จำนวน Margin ที่ใช้ก็จะน้อยลง สำหรับจำนวน Margin ที่ต้องใช้ก็คิดง่ายๆก็คือที่ Leverage 1:500 ถ้าเราเทรดที่ 0.1 lot (1 pip เท่ากับ $1) จะใช้ Margin ประมาณ $20-$30 ถ้าเป็น Leverage 1:100 ก็จะใช้ Margin เท่ากับ $100 - $150 ซึ่งค่า Margin ที่ใช้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามราคาของสกุลเงิน สามารถคำนวณ Margin ที่ใช้ของคู่สกุลเงินต่างๆได้ที่ http://www.forexrazor.com/Tools/Resources/Forex-Margin-Calculator.aspx

Swap
Swap คือดอกเบี้ยที่เราจะได้หรือเสียไปเมื่อเราทำการเปิดออเดอร์ทิ้งไว้ข้ามคืน (ข้ามช่วงเวลาเที่ยงคืนตามเวลา Server ในโปรแกรม MT4) ค่า Swap ของแต่ละสกุลเงินสามารถเข้าไปดูได้ที่ MT 4 -> หน้าต่าง Market Watch -> คลิกขวา เลือก Symbols -> เลือกสกุลเงินที่ต้องการ -> กดปุ่ม Properties จะแสดงค่า Swap Long (ค่า Swap สำหรับออเดอร์ซื้อ) และ Swap Short (ค่า Swap สำหรับออเดอร์ขาย) มีหน่วยเป็น pip คืนวันเสาร์และอาทิตย์ไม่มีการคิดค่า Swap แต่จะไปทบในคืนวันพุธแทนซึ่งค่า Swap คืนวันพุธจะมีค่าเป็น 3 เท่าของค่า Swap ปกติ

การวิเคราะห์
สำหรับการวิเคราะห์การเทรดก็จะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆคือ ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis)

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานก็คือการวิเคราะห์ข่าวต่างๆที่เกิดขึ้น ที่เว็บไซต์ http://www.forexfactory.com ก็จะมีการอัพเดทข่าวต่างๆที่เกี่ยวกับ Forex อยู่ตลอดเวลาซึ่งก็จะมีลำดับความสำคัญของข่าวด้วย ยิ่งเป็นข่าวที่มีความสำคัญมากก็จะมีผลกระทบกับราคาได้มาก

การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคก็จะเป็นการวิเคราะห์จากรูปแบบของกราฟเป็นหลัก โดยดูจากรูปแบบของกราฟว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร แนวรับแนวต้านอยู่ตรงไหน และมีการใช้อินดิเคเตอร์ต่างๆมาช่วยในการวิเคราะห์ด้วย เช่น Moving Average, Fibonacci, RSI ซึ่งอินดิเคเตอร์พื้นฐานที่ใช้โดยทั่วไปก็จะมีให้เลือกใช้ในโปรแกรมเทรด

ตัวอย่างการซื้อขาย 1
สมมติที่คู่ EUR/USD มีราคาปัจจุบันเป็น 1.3000 ก็จะหมายความว่า 1 ยูโรมีค่าเท่ากับ 1.3 ดอลลาร์ ถ้าเราคิดว่าในอนาคต 1 ยูโรจะมีค่ามากกว่า 1.3 ดอลลาร์ ก็ให้เราทำการเปิดออเดอร์ซื้อ ถ้าในอนาคตราคาที่คู่นี้เป็น 1.3010 แล้วเราทำการปิดออเดอร์นี้ เราก็จะได้กำไรมา 10 PIP ถ้าเราใส่ Volume เป็น 0.1 lot ตอนเปิดออเดอร์ (แต่ละจุดเท่ากับ $1) กำไร 10 จุดก็จะเท่ากับ $10 แต่ถ้าราคาตกลงมาเป็น 1.2990 เราก็จะขาดทุน $10

ตรงกันข้าม ถ้าเราคิดว่าในอนาคต 1 ยูโรจะมีค่าน้อยกว่า 1.3 ดอลลาร์ ก็ให้เราทำการเปิดออเดอร์ขาย (สามารถเปิดออเดอร์ขายได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องเปิดออเดอร์ซื้อก่อน) ถ้าในอนาคตราคาที่คู่นี้เป็น 1.2990 แล้วเราทำการปิดออเดอร์นี้ เราก็จะได้กำไรมา 10 จุด ถ้าเราใส่ Volume เป็น 0.1 lot ตอนเปิดออเดอร์ (แต่ละจุดเท่ากับ $1) กำไร 10 จุดก็จะเท่ากับ $10 แต่ถ้าราคาขึ้นมาเป็น 1.3010 เราก็จะขาดทุน $10

ตัวอย่างการซื้อขาย 2





จากรูปเป็นรายละเอียดของการเปิดออเดอร์ขาย (Type เป็น Sell) ของคู่สกุลเงิน AUD/USD เปิดที่ 0.10 lot (1 pip = $1) ที่ราคา 1.0387 ซึ่งราคาปัจจุบันเป็น 1.0351 ซึ่งน้อยกว่าราคาที่เราเปิดขายอยู่ 36 pip เนื่องจากออเดอร์นี้เป็นออเดอร์ขาย ดังนั้นเราก็มีกำไรตอนนี้อยู่ $36 (1 pip = $1 จากที่เราเปิด 0.10 lot ถ้าเราเปิดเป็น 1 lot เราก็จะได้กำไร $360)

MetaTrader 4 (MT4)
MT4 เป็นโปรแกรมใช้สำหรับการเทรดซึ่งโบรกเกอร์โดยส่วนใหญ่ก็จะรองรับ MT4 เป็นโปรแกรมที่ทันสมัยมากๆเมื่อเทียบกับโปรแกรมเทรดหุ้นในเมืองไทย และที่สำคัญโปรแกรมนี้ นอกจากจะใช้ในการเทรด forex ได้แล้ว ยังสามารถเทรดทองคำ น้ำมัน สินค้าเกษตร index ต่างประเทศ และ หุ้นในต่างประเทศอีกด้วย

Expert Advisor (EA)
เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาใน MetaEditor ที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้ MT4 ทำการซื้อขายตามเงื่อนไขที่เราเขียนไว้ในโปรแกรมให้อัตโนมัติ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้เราไม่ต้องเฝ้าหน้าจออยู่ตลอดเวลา










โบรกเกอร์ forex 
ปัจจุบันเนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับการซื้อขาย forex สำหรับรายย่อย เปิดให้เพียงสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ซื้อขายได้เท่านั้น ทำให้เราจำเป็นต้องเปิดซื้อขายกับโบรกเกอร์ในต่างประเทศ ซึ่งเปิดให้บริการเป็นจำนวนมาก โดยแต่ละโบรกมีจุดเด่น จุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป การสมัครก็ทำได้ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องบินไปเปิดที่ต่างประเทศ ทำเพียง scan บัตรประชาชน และ utility bill ไปเท่านั้น




รูปด้านล่างเป็นตัวอย่างโบรกเกอร์ที่ได้รับความนิยมในเมืองไทย






โดยเหตุผลที่โบรกเกอร์เหล่านี้ได้รับความนิยมในเมืองไทย แม้ว่าบางโบรกจะจดทะเบียนในประเทศที่ไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่เนื่องจากมีข้อดีในเรื่อง spread ที่ต่ำมาก และการฝากถอนเงินที่เปิดรับการโอนเงินผ่าน e-currency รวมถึงมีการให้ bonus ทุกครั้งในการฝากเงิน จึงทำให้โบรกเกอร์เหล่านี้มีเทรดเดอร์คนไทยสมัครใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การฝาก/ถอนเงิน 
เนื่องจากโบรกเกอร์ forex ดังกล่าวเป็นโบรกเกอร์ของต่างประเทศ ซึ่งการโอนเงินเข้าออกต่างประเทศผ่านธนาคารโดยตรงหรือบัตรเครดิตมีระยะเวลาดำเนินการหลายวัน และต้องเสียค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง รวมถึงการโอนเงินไปต่างประเทศของคนไทยที่ถูกจำกัดจากทางภาครัฐ และการทีกฎหมายไม่รองรับการเทรดสำหรับรายย่อย  ทำให้ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จึงนิยมใช้ e-currency ในฝากถอนเงินแทน ซึ่ง e-currency ที่ได้รับความนิยมคือ Liberty reserve, Moneybookers ,Webmoney  Perfect money และ Paypal

By 2Btrader